เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เมื่อวานมีคนมาหา ลูกโดนเขาหลอกไปทำความผิดไง โดนเขาหลอกเห็นไหม สังคมใช้ความไม่รู้เท่าเป็นประโยชน์กับเขานะ โลกเขาหลอกกัน สังคมเขาไปหลอกกันอย่างนั้น แล้วเวลาของเรา เราดูสิ ว่าในสังคมของพระ ถ้าเราไม่รู้เท่า ความไม่รู้เท่านั้นคืออะไร? ความไม่รู้เท่าคืออวิชชาไง ทั้งๆ ที่เรารู้นะ เราก็รู้ของเรา เรารู้ทางวิชาการของเรา แต่เราไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของคนหรอก เล่ห์เหลี่ยมของคนน่ะพลิกแพลงหลายซับหลายซ้อนมาก นี่โลก ขนาดโลกเป็นอย่างนั้น นี่เราเห็นกันนะว่าข้างนอกเขาหลอกกัน แต่เราไม่รู้เลยว่าตัวเราเองหลอกเราเองด้วย
อวิชชาคือความไม่รู้ พระพุทธเจ้าบอกว่าอวิชชาคือความไม่รู้ในหัวใจเรา ความเห็นในหัวใจเรามันหลอกเรา มันหลอกเราว่าสรรพสิ่งนี่มันยังเป็นของเราตลอดไป เห็นไหม มันยึดมั่นถือมั่นในชีวิตไง ชีวิตนี้เกิดมามีบุญกุศลมากนะ ถ้าเราไม่มีบุญกุศลเราไม่เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เป็นอริยทรัพย์ นี่ทรัพย์นะ ทรัพย์อันประเสริฐ
อริยทรัพย์ ทรัพย์ของมนุษย์ เพราะเราเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราทำมาหากินของเรา เราเหนื่อย เรายากของเราขึ้นมา สมบัตินั้นเป็นของเรานะ สมบัติในธนาคาร สมบัติของต่างๆ เป็นของเราหมดเลย แต่สิ่งนี้มันเป็นสมมุติ สมมุติเพราะอะไร? เพราะเราต้องใช้จ่ายไปมันก็คือการพลัดพรากอันหนึ่งแล้ว แล้วถึงที่สุดแล้วนะ ถ้าเราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา เห็นไหม เราใช้จ่ายไปนี่มันพลัดพรากจากเราไป เราโดนเขาลักขโมยก็เหมือนกับมันก็พลัดพรากจากเราไป ถึงที่สุดแล้วนะเราก็ต้องพลัดพรากจากเขา
การพลัดพรากนี่มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราไม่เห็นเป็นธรรมดา เราจะยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ เห็นไหม มันหลอกเราอย่างนี้ไง ความไม่รู้เท่าของเรา ถ้าความรู้เท่าของเรานะ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สมบัตินี้เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยนะ เทวดามาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พระอินทร์มีไหม? เทวดามีไหม?
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อย่าถามเลยเรื่องว่ามีหรือไม่มี เหตุที่ทำให้เกิดให้มี ยังมีเลย
เหตุที่เกิดยังรู้จักเลย รู้จักเหตุที่เกิดไหม? อย่างเช่น เราจะหุงหาอาหารกิน เราต้องมีข้าวสารใช่ไหม เราต้องมีน้ำใช่ไหม เราต้องมีหม้อใช่ไหม เราถึงหามาได้ เห็นไหม เหตุในการประกอบขึ้นมาเป็นอาหารเรายังรู้เลย ทำไมข้าวสุกข้าวสารจะไม่รู้จัก? สำรับอาหารที่มันวางอยู่ตรงหน้าเรามันมาจากไหน? เราหามานะ
นี่ก็เหมือนกัน เหตุให้เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ทำไมจะไม่รู้ สิ่งที่เสียสละเป็นสาธารณะสมบัติ ดูสิ แหล่งน้ำ ที่สาธารณะสมบัติ เรือนริมทาง เห็นไหม ดูประเพณีของชาวพุทธเราสิ เขาจะตั้งโอ่งน้ำไว้หน้าบ้าน เพื่อเขาต้องการให้คนหิวคนกระหายเขาได้ดื่มนะ แต่โลกเดี๋ยวนี้ไปไม่ได้นะ เขาไปตั้งอย่างนั้นผู้ที่เขาทำธุรกิจการค้าเขาจะมาทุบให้แตกเลย เพราะอะไร? เพราะคนถ้าเขาหิวกระหายให้เขาไปซื้อเอาสิ ไปซื้อเอา เขามีร้านค้าของเขา เห็นไหม นี่โลกธุรกิจเป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าโลกของธรรมะ ธรรมคือความเสียสละ คือการให้ไง เห็นไหม ให้สมบัติเป็นสาธารณะ เราให้สมบัติสาธารณะนะ เขาได้ประโยชน์จากเรา พอเราไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนี่ เพราะเราได้เสียสละให้เขา เรามีบริษัทบริวารไง เป็นเทวดาขึ้นมายังมีบริษัทบริวารอีกนะ เป็นเทวดาเหมือนกันแต่เป็นเทวดาโดยเฉพาะตนก็มี สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลก เป็นวัฏฏะ
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลึกกว่านั้นไปอีก ลึกกว่านั้นนะ สิ่งที่เห็น ดูสิ การเสียสละของเรา เรายังเสียสละกันแทบไม่ได้เลย เพราะอะไร? สิ่งนี้เป็นของเรา แต่ถ้าเราพอใจ เราเคยทุกข์เคยยากมา มีคนช่วยเหลือเจือจานเรามา พอเรามีฐานะขึ้นมาเราก็อยากเจือจานคนต่อไป เราอยากให้โอกาสคนทั่วๆ ไป เห็นไหม นี่คือโอกาสในการยืนในสังคมนะ
แล้วโอกาสในการยืนในวัฏฏะล่ะ วัฏฏะ เห็นไหม เพราะจิตนี่มันเกิดมันตาย ถ้ามันมีกุศลไป มันก็เกิดในที่ดี มันมีที่ยืนในที่ดีของเขา ถ้ายืนในที่ดี เราอาศัยเอาความดีผ่านพ้นไปๆ ถ้าอาศัยความดีนะ ถ้าความดี ดูสิ คนเราติดดีและติดชั่ว ติดดีนี่แก้ยากมากเลย เพราะติดดีมันว่าเป็นความดี นี่อวิชชา ความไม่รู้ไง ดูสิ ความไม่รู้โลกเขาหลอกกัน ก็อาศัยความไม่รู้เท่าของเรานี่หลอกเรา
ในทางศาสนาก็เหมือนกัน เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราเข้าไปนี่เพราะเราไม่รู้เรื่องศาสนา แล้วเรื่องศาสนา ที่เขาไปหาศาสนาเขาก็ให้เสียสละ เสียสละอะไรล่ะ? เสียสละนี่ ข้างนอกเป็นการเสียสละออกเพื่อการแสดงน้ำใจเท่านั้นเอง การเสียสละจากทานนี่มันการเสียสละออกของน้ำใจ ดูสิ เราไม่ต้องเสียสละเลย เราเป็นคนที่น้ำใจดี เห็นไหม เราจะหลีกทางให้คนอื่น เราจะอาศัยอำนวยความสะดวกให้คนอื่น
ดูสิ เวลาคนเราอำนวยความสะดวก นั่นน่ะอันนั้นมีคุณประโยชน์นะ เพราะเราออกมาจากน้ำใจ ค่าน้ำใจสำคัญมากนะ บุญกุศลออกมาจากค่าน้ำใจ ถ้าน้ำใจมันดีนะ การเสียสละอย่างนั้น เสียสละออกมาด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้าค่าน้ำใจมันไม่ดี ดูสิ ดูที่เราไม่รู้เท่าเขานี่ เขามา เขาเอามาเสียสละกับเรา นี่เสียสละจากภายนอก แต่หัวใจเขาคิดอะไรกับเรารู้ไหม เขาหวังประโยชน์อะไรจากเรามหาศาลเลย อันนี้บุญอย่างนี้มันไม่สะอาดบริสุทธิ์
ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ เห็นไหม การที่เราหาทรัพย์หาสมบัติมานี่มันก็ทุกข์ เป็นงานเป็นการของเราแล้ว ได้มาจากความบริสุทธิ์ ขณะจะให้เราให้ด้วยความบริสุทธิ์ ให้แล้วเรามีความพอใจ นี่ปฏิคาหก ผู้ให้ ผู้รับ เห็นไหม ผู้รับเป็นเนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ รับมาแล้วนี่เจือจานสังคม เจือจานหมู่คณะ เจือจานนะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งนี้ถ้ามักน้อยสันโดษ ดูสิ เวลาพระเรานี่อดนอนผ่อนอาหารเพื่ออะไร? ก็เพื่อจะไม่ให้ธาตุขันธ์ เห็นไหม เรากินมาก เราใช้มาก ร่างกาย ดูสิ เราไปหาหมอหาอะไรรักษากันเพราะอะไร? เพราะเราดำรงชีวิตของเราด้วยความอยากของเรา แต่เราดำรงชีวิตด้วยความสันโดษของเรา ความพอใจของเรา ความรู้เท่าของเรา ร่างกายของเราก็จะไม่เป็นโรคเป็นภัย
เวลาภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าอาหารเราพอสมควร เวลานั่งภาวนาก็ไม่โงกง่วง เราจะเอาสมบัติที่ดีกว่านั้นนะ เราไม่ได้เอาสมบัติที่ปัจจัยเครื่องอาศัย ที่อาศัยที่ว่าเขาเสียสละมานี่ เสียสละมาอาศัยแก่คนที่เขาขาดแคลน แต่เราขาดแคลนธรรมะ เราขาดแคลนความสุขในหัวใจ ถ้าเราขาดแคลนอย่างนั้น เอาสมบัติหยาบๆ อย่างนี้มาเหยียบย่ำสมบัติที่ละเอียดได้อย่างไร?
ถ้าเหยียบย่ำสมบัตินะ คนถ้ามีน้ำใจขึ้นมา ค่าน้ำใจมันสำคัญตรงนี้ไง สำคัญที่มันละเอียดเข้าไป มันเห็นประโยชน์อันละเอียดเข้ามา มันจะปล่อยวางอย่างนั้น อาศัยพอชั่วคราว สิ่งที่เหลือเจือจานกันต่อๆ ไปให้ทุกคนในสังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข เพราะเรามีค่าน้ำใจไง นี่แผ่นดินธรรม หัวใจมันเป็นธรรมขึ้นมาน่ะ แผ่นดินทอง ทรัพย์สมบัติมันก็เจือจานกันตลอดไป แผ่นดินทองแต่หัวใจมันไม่เป็นธรรม มันก็เบียดเบียนแย่งชิงกัน
สิ่งที่สำคัญคือหัวใจ ถ้าเราเอาหัวใจ คำว่า หัวใจ มันเป็นต้นของความคิด หัวใจนี่ภวาสวะ ภพมันเป็นความรู้สึก แล้วเวลาความคิดออกมามันออกมาจากความรู้สึกอันนั้น ถ้าความรู้สึกอันนั้นมันสะอาดบริสุทธิ์ ความคิดนั้นก็สะอาดบริสุทธิ์ นี่คำว่าหัวใจ ก็คือว่าเริ่มต้นของความคิดน่ะมันไม่แย่งชิงมาตั้งแต่เราวางแผนจะล่อลวงเขา เราไม่ได้วางแผนจะทำร้ายใคร เราไม่ได้วางแผน เราเห็นแต่คุณประโยชน์ พ่อแม่เห็นคุณประโยชน์ของลูกนะ ดูเด็กๆ นี่เรารัก เราปกป้องรักษาเขาเพื่ออะไร? เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะพ่อแม่เขาผ่านโลกสังคมมา
ธรรมก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาในหัวใจ เวลามันต่อสู้มา เพราะอะไร? เพราะอดนอนผ่อนอาหารนี่ มันต้องอดนอนผ่อนอาหารนะ ถ้าไม่อดนอนผ่อนอาหาร เหมือนกับเราเป็นนักกีฬา มันไม่ได้ฝึกซ้อมเลยแล้วจะให้ลงไปแข่งขันได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลงไปแข่งขันมันก็มีแต่แพ้ พอแข่งขันแล้วแพ้จิตใจมันก็ท้อถอยใช่ไหม นักกีฬาถ้ามันแข่งขันมีแต่แพ้กับแพ้ คอมันตก ไม่มีกำลังใจสู้กับคู่ต่อสู้ของเขา ถ้านักกีฬาลงไปมีแข่งขันแพ้บ้างชนะบ้างขึ้นมา มันก็มีกำลังใจต่อสู้กับเขา ปฏิบัติขึ้นไปแล้วนี่มันมีผลประโยชน์ มันก็ได้เห็นผล
ในการปฏิบัติมันก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความสงบร่มเย็นบ้าง เรามีปัญญาได้ใคร่ครวญให้มันปล่อยวางบ้าง มันลงไปแข่งขันแล้วมันก็จะมีกำลังใจขึ้นมาต่อสู้ แล้วการแข่งขันนี้มาจากไหน? ก็มาจากการซ้อม จากความขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรมาจากไหนล่ะ? ความขยันหมั่นเพียรก็มาจากการปฏิบัติ แล้วการปฏิบัติมาจากไหนล่ะ?
ดูสิ นักกีฬาเขายังต้องมีอาหารของเขาเลย อาหารที่ควรจะกินและอาหารที่ไม่ควรกิน อาหารที่ควรกิน กินเข้าไปแล้วมันไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย กินแล้วไม่มีประโยชน์ เห็นไหม นักกีฬาเขาต้องมีโภชนาการของเขานะ เรานักปฏิบัติยิ่งกว่านักกีฬานะ เพราะเราจะชำระกิเลส แล้วเราจะมานอนจมอยู่กับปัจจัยเครื่องอาศัยอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันถึงต้องอดนอนผ่อนอาหาร ไม่ใช่เป็นการอัตตกิลมถานุโยคทรมานตนให้เสียเปล่าหรอก มันเป็นการทรมานกิเลส
การทรมานที่ว่าสิ่งที่ร่างกายมันมีกำลังเกินไปแล้วนั่งมันโงกง่วง นั่งไปมันไม่เป็นประโยชน์ เห็นไหม ความสุขอันละเอียดเราต้องแสวงหาสิ่งนั้น แล้วมันมาจากไหนล่ะ ถ้าเราไปทำในสังคมที่เขาไม่รู้ ต่างคนต่างไม่รู้นะ โอ๊ย! การเห็นอาหารเป็นโทษ การเห็นสิ่งปัจจัยเป็นโทษ อย่างนี้มันไม่ใช่เป็นธรรมะหรอก ธรรมะเขาต้องมีแต่ความสุขสบายของเขา ความสุขสบาย เห็นไหม นี่มันไม่รู้เท่าหรอก
ถ้าคนไม่เคยทำจะไม่รู้เท่า จะไม่เห็นว่าอะไรเป็นโทษและอะไรเป็นคุณ มันเป็นคุณมันก็มีโทษในตัวมันเอง ถ้ามันเป็นคุณเราก็อาศัยคุณเฉพาะการดำรงชีวิตเท่านั้น ไม่ให้มันมีพลังงานที่เหลือใช้จากร่างกายที่ต้องใช้สอยแล้วมากดถ่วงหัวใจของเรา ถ้าไม่กดถ่วงหัวใจของเรา หัวใจเราก็มีโอกาสได้เปิดกว้างขึ้นมา นี่ผู้ที่ผ่านมา ผู้ที่เดินมา ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นนี่ไม่เป็นอวิชชา รู้ตามความเป็นจริง
ดูสิ ลูกเราทำมาหากินทุกข์ไหม? ทุกข์ทั้งนั้นแหละ นี่ก็ปฏิบัติทุกข์ไหม? อดอาหารหิวไหม? หิว มันเป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ใช่ว่ามันจะมีความสุขหรอก มันเป็นความหิว แต่! แต่เราต้องการผลประโยชน์ที่มากกว่านั้น มันเป็นวิธีการที่เราจะเข้าไปหาธรรมะ ถ้าเป็นวิธีการ เราปฏิเสธวิธีการเสียก่อน เราไปทำลายวิธีการเสียก่อน แล้ววิธีการของเรามันไม่เข้าไปหาข้างในหัวใจ แล้วมันจะเข้าไปหาธรรมะได้อย่างไรล่ะ
เราปฏิเสธวิธีการ วิธีการกับเป้าหมายมันต่างกันนะ วิธีการเข้าไปหา วิธีการในการดัดแปลงตน วิธีการเอาชนะตน เอาชนะตน ธรรมะมันเกิดขึ้น ถ้าเราแพ้ตนเองมันฟุ้งซ่าน มันแพ้ตนเองอยู่แล้วมันจะเอาวิธีการ มันจะเข้าไปหาเป้าหมายได้อย่างไร นี้มันวิธีการ แล้วเราปฏิเสธวิธีการ เราบอกวิธีการเป็นอัตตกิลมถานุโยค ก็จะให้คนนอนกันอยู่เฉยๆ จะให้คนนั่งกันแบบทอดหุ่ยเลย แล้วบอกว่านี่เป็นธรรมะๆ ...อย่างนั้นไม่ใช่หรอก นี่อวิชชา นี่ไม่รู้เท่า คนไม่รู้เท่านี่ ธรรมะเราปฏิบัติกันอย่างนั้นน่ะ ปฏิบัติกันพอกพูน พอกพูนแล้วเราไปทำกันสักแต่ว่า ไปทำกันเป็นพิธีเท่านั้นล่ะ แล้วว่าจะเป็นธรรมๆ แล้วมันเข้าถึงผลกันไหมล่ะ ในเมื่อศาสนานี้มีจริงนะ
ดูสิ ดูเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วเรารักษาจริงๆ ให้หมอรักษาจริงๆ เราจะได้หายจากเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้นี่ก็ว่ารักษา คิดว่ารักษาแต่ไม่ได้รักษา ก็คิดว่าเดินผ่านโรงพยาบาลไปเฉยๆ ว่านี่ผ่านโรงพยาบาลมาแล้ว ผ่านออกมาไข้ยังเต็มตัวอยู่นะ นี่ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติโดยพิธีกรรมมันเป็นอย่างนั้น ถ้าปฏิบัติจริงๆ พอลงทุนลงแรง เวลาหมอรักษาฉีดยาก็เจ็บ ผ่าตัดก็เจ็บ เห็นไหม คนเรามีความรู้สึกอย่างไร ให้เขาเอามีดกรีดลงไปในร่างกายของเราเลยมันเจ็บไหม? มันก็เจ็บ เจ็บแล้วมันทำอย่างไร? มันก็หาย มันรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติขึ้นมานี่อัตตกิลมถานุโยค โน่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ จะทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ จะไม่รักษากันเลยเหรอ จะปล่อยกันอยู่อย่างนั้นใช่ไหม? จะหมักหมมกันไว้อย่างนั้นใช่ไหม? มันไม่ใช่หรอก นี่ไง แต่ถ้าคนรู้จริง หมอรู้จริงก็ผ่าตัดได้นะ ถ้าเราไม่รู้จริง ดูสิ เรากรีดลงไปนี่มีแต่เชื้อโรค เราทำอะไรมีแต่เชื้อโรค
ความเป็นจริงอันนั้นนี่ผู้นำ ผู้นำสำคัญ สำคัญเพราะได้ผ่านมาจริงๆ ผ่านมาจริงมันจะรู้จักวิธีการจริงๆ ถ้าไม่ผ่านมาจริงๆ รู้วิธีการไม่จริงเพราะอะไร? เพราะมันเป็นตำรา ศึกษามาขนาดไหนแต่ถ้าไม่มีฝึกงาน ไม่ได้ทำงานให้เป็น ทำงานไม่เป็นหรอก
ถ้าในการหลอกลวงกันทางโลก น่าสงสารมาก หลอกลวงกันในทางโลกนะ นี่ชีวิตทั้งชีวิตเลย ประวัติก็เสียไปเลย แต่จะมีบุญกุศลอย่างไรเราก็จะแก้ไขของเราไป โลกเป็นอย่างนั้น เราทำบุญกุศล บุญกุศลมันเป็นเพียงแต่ว่าเป็นโอกาสให้เราเจอคนดีและเจอคนไม่ดี ให้เราได้ฉุกคิดไง แต่เมื่อทำบุญกุศลแล้วนี่จะไปกลับให้สังคมเป็นดีทั้งหมด สังคมถ้ามันดีขึ้นมา คนดีขึ้นมาสังคมมันก็ต้องดีขึ้นมา สังคมมันเป็นอย่างนั้น
เหรียญมีสองด้านตลอดไป ไม่มีจะเอาดีได้หมด เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ ขนาดที่ท้อใจเลยนะ จะไปสอนใครได้ เพราะอะไร? เพราะมันละเอียดลึกลับจนกว่าจะสอนใครได้ แต่มันจะสอนคนที่มีเชาวน์ปัญญา คนที่มีบุญกุศลที่ตั้งใจมา คนที่ตั้งใจมามันมีโอกาสแสวงหาของมัน แล้วได้ทำอย่างนี้เข้าไปมันสะเทือนหัวใจ แล้วมันจะพอใจอันนั้นไง ถ้าพอใจอันนั้น นั่นน่ะบุญแค่นั้นเอง เราจะได้กันเฉพาะนี่ วัวใครเข้าคอกเขา ถ้าเขามีความสนใจอย่างนั้น เขามีความคิดอย่างนั้น เข้าคอกของเขาอย่างนั้น ถ้าความคิดของเราที่ดี ธาตุของเราที่ดี เห็นไหม นี่เข้ากันโดยธาตุ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ลูกศิษย์พระสารีบุตร ๕๐๐ เป็นปัญญาหมดเลย ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะ ๕๐๐ นี่มีฤทธิ์หมดเลย เพราะเข้าโดยธาตุ มันพอใจมันเข้าโดยธาตุนะ ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกหมดเลย ลามกมันเข้ากับลามก มันพอใจมันเห็นเป็นดีไปหมดเลย นี่วาสนา บุญไปแก้ตรงนี้ แต่ในสังคมมันเป็นสภาวะแบบนั้น บุญแก้คือให้เรามีเชาวน์ปัญญา ให้เรามีหลักมีเกณฑ์ของเราแล้วเรารักษาของเราขึ้นมาได้ นี้คือการบุญกุศล
แล้วถ้าปฏิบัติบูชา ปฏิบัติของเราเข้าไป ถ้าเราเห็นเข้าไป เราเป็นโค้ชนะ นักกีฬาน่ะแพ้ชนะนี่เห็นแววตั้งแต่ทีแรกเลย ลงไปคราวนี้แพ้หรือชนะ ถ้าแพ้ชนะนี่เพราะโค้ชเคยผ่านประสบการณ์มา โค้ชเป็นคนวางแผนวิธีการมา นี่ครูบาอาจารย์เป็นโค้ช ถ้านักกีฬาเราผ่านมาแล้วเราจะเข้าใจอย่างนี้ นี่ร่มโพธิ์ร่มไทร นกกาอาศัย
ร่มโพธิ์ร่มไทรนะ เราจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตนจะเป็นที่พึ่งของสังคมของโลก ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติ ต่างคนต่างมาเพื่อเรา ให้รู้เท่าตัวเราเองก่อน ความจริงในหัวใจนี่ แล้วเราจะไม่เป็นเหยื่อของโลก แล้วเราจะไม่ต้องไปให้ใครเขามาหลอกลวงเรา เอวัง